วันเสาร์ที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2557

ความเป็นส่วนตัว

ความเป็นส่วนตัว (privacy)
ทคโนโลยีคอมพิวเตอร์สามารถจัดเก็บ และใช้งานข้อมูลได้ทุกประเภท รวมถึงข้อมูลส่วนบุคคลที่จะถูกบันทึกไว้ในระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งการครอบครองข้อมูลหรือการใช้ข้อมูลส่วนบุคคล    มี 3 กรณี    

  1. ความถูกต้อง (accuracy) ผู้เก็บข้อมูลรับรองว่าข้อมูลถูกต้อง 
  2.  ลิขสิทธ์ความเป็นเจ้าของ (property)  เจ้าของสามารถใช้ข้อมูลเหล่านั้นได้  
  3.  การเข้าถึงข้อมูล (access) เกี่ยวข้องกับความรับผิดชอบของผู้ใช้งานข้อมูล
ฐานข้อมูลขนานใหญ่

     องค์กรขนาดใหญ่จะมีการบริหารจัดการข้อมูลอย่างดี ทุกๆวันข้อมูลที่เก็บได้ จะถูกส่งไปเก็บยังฐานข้อมูลขนาดใหญ่ เช่น บริษัทโทรคมนาคมจะมีรายการโทรศัพท์มากมาย ซึ่งจะมีโปรแกรมที่ใช้สำหรับค้นหาหมายเลขโทรศัพท์ที่เรียงตามลำดับ เรียกว่า reverse directory ซึ่งหน่วยงานราชการหรือผู้ได้รับอนุญาตสามารถค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับบุคคลที่โทรศัพท์ได้                                                                                    
               บริษัทที่จัดเก็บ หรือมีไว้ในครอบครองฐานข้อมูลขนาดใหญ่ มักรู้จักกันว่าเป็นผู้ค้าข้อมูล หรือโบรกเกอร์ข้อมูล ซึ่งจะมีหน้าที่จัดเก็บและขายข้อมูลส่วนบุคคลเหล่านี้  โดยสร้างการข้อมูลส่วนบุคคลอิเล็กทรอนิกส์ (electronic profiles) หรือรายละเอียดเกี่ยวกับบุคคลผ่านทางฐานข้อมูลที่เผยแพร่บนอินเทอร์เน็ตทั่วๆไป และจะขายข้อมูลส่วนบุคคลอิเล็กทรอนิกส์กับผู้ซื้อโดยตรง หรือผ่านตัวแทนอื่นๆ บางครั้งอาจเผยแพร่แบบไม่เสียค้าใช้จ่าย

    โดยข้อมูลส่วนบุคคลอิเล็กทรอนิกส์ที่เผยแพร่ อาจก่อให้เกิดปัญหา เช่น identity theft  หมายถึง โจรที่สวมรอยเป็นบุคคลอื่นอย่างผิดกฎหมายเพื่อวัตถุประสงค์ทางธุรกิจ และการระบุตัวตนผิดพลาด (mistake identity) ซึ่งเป็นการสลับข้อมูลส่านบุคคลกับอีกคนหนึ่ง


เครือข่ายส่วนบุคคล (Private Network)
    
               บริษัทใหญ่ๆ จะมีโปรแกรม ชื่อว่า snoopware สำหรับตรวจสอบการทำงานของพนักงานในบริษัท เช่น การแอบดูอีเมลของพนักงาน

อินเทอร์เน็ต(Internet) และ เว็บ (Web)
            เมื่อคุณส่งอีเมลบนอินเทอร์เน็ต หรือ เบราว์เว็บ ต้องคำนึงถึงความเป็นส่วนตัวด้วย เครื่องคอมพิวเตอร์ทุกเครื่องบนอินเทอร์เน็ตจะถูกกำหนดไว้ด้วยหมายเลข IP Address ใช้ในการติดตามกิจกรรมต่างๆที่เกิดขึ้นบนอินเทอร์เน็ตได้ว่ามาจากที่ใด
            เมื่อคุณเบราว์เว็บ เบราว์เซอร์ของคุณจะเก็บข้อมูลสำคัญไว้ในฮาร์ดดิสก์ โดยไม่สามารถทราบได้ เช่น การสร้างแฟ้มประวัติ (history files) สำหรับบันทึกการใช้งานเว็บไซด์ที่คุณเคยเข้า อีกวิธีในการดูกิจกรรมต่างๆที่เกิดขึ้นบนอินเทอร์เน็ต คือการดูจากคุกกี้ (cookies) หรือข้อมูลส่วนเล็กๆ ที่ถูกเก็บไว้ในฮาร์ดดิสก์ มี 2 ประเภท คือ
 1.คุกกี้ทั่วไป (traditional cookies) จะเก็บข้อมูลเว็บไซด์เดียว โดยจะเก็บบางอย่างที่แสดงความเป็นตัวตนเอาไว้ เมื่อกลับเข้ามาใช้อีกจะมีการเรียกข้อมูลจากคุกกี้มาใช้
 2.คุกกี้แอดเน็ตเวิร์ค (ad network cookies ) รือคุกกี้แอดแวร์ (adware cookies)  เป็นโปรแกรมเฝ้าดูกิจกรรมที่เราทำบนทุกๆเว็บไซด์ และเก็บรวบรวมไปยังปลายทางที่กำหนด หน่วยงานที่เก็บรวบรวม เช่น Double click และ Avenue A

สปายแวร์ (spyware) คือ โปรแกรมที่ออกแบบมาเพื่อใช้ในการบันทึก และเก็บรายงานเกี่ยวกับการทำงานในกิจกรรมต่างๆบนอินเทอร์เน็ต ที่เป็นกิจกรรมส่วนตัว โดยคุกกี้แอดเน็ตเวิร์คเป็นสปายแวร์แบบหนึ่ง นอกจากนี้ยังมี เว็บบัก (web bug) และ ซอฟแวร์ติดตามการทำงาน (monitoring software)

เว็บบัก (web bug)  โปรแกรมเล็กๆที่ถูกซ่อนอยู่ใน HTML สำหรับเว็บเพจหรือ ซ่อนอยู่ในอีเมลในลักษณะภาพกราฟฟิก เมื่อเปิดดูเว็บหรืออีเมลทีมีเว็บบักข้อมูลส่วนตัวจะถูกส่งไปยังต้นทางที่ปล่อย
ซอฟต์แวร์ติดตามการทำงานบนคอมพิวเตอร์ (computer monitoring software) หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า คีย์สโตรก ล็อกเกอร์ (keystroke loggers) เป็นโปรแกรมบันทึกการเคาะคีย์บอร์ด เพื่อเก็บข้อมูลที่คุณได้ป้อน ลงไปในเครื่องคอมพิวเตอร์ของคุณ

แอนตี้สปายแวร์ (anti-spyware) หรือโปรแกรม สปายแวร์รีมูฟวอล (spyware removal program) เป็นโปรแกรมสำหรับตรวจสอบและติดตามควบคุมดูแล เว็บบัก

การระบุตัวตนออนไลน์ (online identity)
การเพิ่มขึ้นของโซเชียลเน็ตเวิร์คกิ้ง (social networking) บล็อกกิ้ง (blogging) และเว็บไซต์ สำหรับ แลกเปลี่ยนภาพและวิดีโอ ทำให้คนส่วนใหญ่ขาดความระมัดระวังในการให้ข้อมูลส่วนตัวบน อินเทอร์เน็ต ซึ่งการระบุตัวตนออนไลน์จะทำให้ผู้อื่นสามารถค้นหาข้อมูลส่วนตัวของเราบนอินเทอร์เน็ตได้


Online Identity Theft - Stolen Password



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น